เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๒ พ.ย. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วัตรปฏิบัติไง วัตรปฏิบัติ เห็นไหม เวลาเขาเลี้ยงสัตว์ของเขา ถึงเวลาเขาต้องไล่สัตว์ออกจากคอก เขาพาไปเลี้ยงของเขา วัตรไง แม้แต่สัตว์ถึงเวลามันจะกินของมันนะ มันยังหาอยู่หากินของมัน นั่นเรื่องของสัตว์

เรื่องของมนุษย์ เห็นไหม เรื่องของคนเกิดมาตั้งแต่เด็กแต่เล็กขึ้นมา เกิดมาพ่อแม่ได้เลี้ยงดู เลี้ยงดูขึ้นมาแล้วพ่อแม่คนไหนจะเลี้ยงดูลูกไปจนตาย พ่อแม่คนไหนเกิดมีลูกขึ้นมาก็อยากให้ลูกมีวิชาชีพต่างๆ ให้ลูกยืนอยู่กับสังคมได้ การกระทำอย่างนั้นฝึกฝนมา ถ้าฝึกฝนมา คนเราฝึกฝนมามันต้องมีดีขึ้นไปไง ไม่ใช่ฝึกฝนไป เห็นไหม ถ้าเป็นเรื่องของทางโลก เวลาออกไป ไม่ใช่พวกเรา เห็นไหม ต้องมีการแข่งขัน แต่ถ้าเป็นการคุ้นเคย คนคุ้นเคย เห็นไหม วิสาสะ

นี่วินัยเหมือนกัน วินัยพระนี่นะ เวลาทำผิดนี่ ผิดเป็นอาบัติหมดนะ ไม่วิสาสะ เว้นไว้วิสาสะกันก็คุ้นเคยไง ความคุ้นเคยนี่หยิบยืมกันได้ แต่ถ้าไม่ใช่คุ้นเคยนะ การหยิบออกไปมันเป็นปาราชิกเชียวนะ มันขาดจากพระเลย แต่ความคุ้นเคยอันนี้มันยกเว้นทางวินัย เพราะความคุ้นเคย เพราะความคุ้นเคยนี่ เรื่องของกิเลสมันความคุ้นเคย แล้วมันได้ใจไง

แต่ถ้าเราทำเพื่อเราเองนะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านทำไว้นี่ วัตรปฏิบัติไง เพื่อให้การดำเนินไปโดยความราบรื่น ความราบรื่นจากภายนอก เห็นไหม ถ้าความราบรื่นจากภายนอก ภายในก็จะราบรื่น “หนึ่งตัวอย่างดีกว่าร้อยคำสั่งนะ” ถ้าตัวอย่างนั้นทำสิ่งที่ไม่ดีขึ้นมา ใครๆ ก็จะเอาแบบอย่างนั้น แบบอย่างที่เลวทุกคนจำได้ง่ายนะ แบบอย่างที่ดี ดูสิ ดูเวลาสิ่งที่ดีๆ ศีลธรรม จริยธรรม เผยแผ่ยากมาก แต่ถ้าแสงสีเสียงของทางโลกนะ เด็กๆ มันก็รู้ ใครๆ มันก็รู้ มันอยากได้ทั้งนั้นนะ อะไรถ้ามันเป็นเรื่องของความสะดวกสบาย อะไรเป็นเรื่องของกิเลส กิเลสชอบหมดเลย เรื่องของกิเลส เห็นไหม แต่เราฝืนกัน

ดูสิเรามาทำบุญทำกุศลกันเพื่ออะไร ก็เพื่อให้หัวใจมันได้ร่มเย็นไง เวลาเราคิดถึงบุญนะ มีแต่ความสุขมาก เมื่อสมัยก่อน เราต้องย้อนกลับไปตั้งแต่เราไม่ศรัทธา เห็นไหม ปีหนึ่งๆ กี่ๆ ปีเราจะได้ทำบุญสักหนหนึ่ง แต่ถ้าเรามีความศรัทธาขึ้นมา เราทำบุญของเราบ่อยครั้งเข้าๆ หัวใจมันต่างกันนะ หัวใจที่มันเปิดกับหัวใจที่มันปิดต่างกัน ภาชนะที่คว่ำอยู่ เห็นไหม สิ่งใดก็แล้วแต่เข้าถึงมันไม่ได้หรอก ถ้าภาชนะเราหงายขึ้นมา แต่การหงายภาชนะขึ้นมา อะไรก็ตกได้นะ เราต้องรักษาของเรา

ดูสิเวลาเราจะถือศีลกัน เห็นไหม เราต้องมีปัญญา คนว่าถือศีลก็ต้องมีปัญญา ทำบุญก็ต้องมีปัญญา เห็นไหม ปัญญาของเรา

“ทำบุญที่ไหน?”

“ทำบุญที่ควรพอใจ”

เพราะอะไร เพราะกิเลสมันดื้อมาก กิเลสมันไม่ยอมอะไรสิ่งใดเลย แล้วถ้ามันศรัทธาขึ้นมา มันเชื่อของมันนะ มันเชื่อ ความเชื่อ เห็นไหม ความเชื่อมันเชื่อในสิ่งที่ผิดก็ได้ เชื่อสิ่งที่ดีก็ได้ เชื่อในสิ่งที่ถูกต้องก็ได้ ความเชื่อของเรา เห็นไหม ความเชื่อต้องรีบทำก่อนที่ความเชื่อ.. เหมือนเราหิวนะ หิวที่ไหนควรกินก่อน แต่เวลาเรามีโอกาสขึ้นมาคัดเลือกแล้ว เราก็คัดเลือกว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน ถ้าความเชื่อของมัน มันเชื่อในสิ่งใด “ควรทำบุญที่เธอเชื่อเธอศรัทธา” เพราะมีศรัทธาแล้วมันอยากจะทำ

แต่ถ้าจะเอาผลล่ะ? ไม่ใช่ว่าเราศรัทธาแล้วเราจะทำได้ประโยชน์หมดนะ ดูศรัทธาเขาดูสิ ลูกน้องโจรมันก็เชื่อหัวหน้าโจร เห็นไหม หัวหน้าโจรก็พาไปปล้นพาไปจี้ มันว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์กับมัน เป็นประโยชน์กับมันนะ มันได้เงินได้ทองมา ได้ปล้นจี้เขามา มันทำมา มันจะไม่ได้ประโยชน์ได้อย่างไร?

นี่เงินทองเต็มย่าม เต็มยุ้งเต็มฉางเลย เพราะอะไร เพราะเราปล้นเขามา เห็นไหม นี่ความเชื่อไง ถ้าความเชื่อในสิ่งที่ดี มันต้องมีปัญญา เห็นไหม ถ้าปัญญาขึ้นมา เราทำที่ไหน? ทำบุญทำที่ไหน? พาไปเสียสละ พาไปเพื่อบุญกุศล

ดูสิ เวลาเกิดอุทกภัยเกิดต่างๆ เราไปช่วยเหลือเขา นี่มีความยิ้มแย้มแจ่มใสนะ คนเขาได้ความช่วยเหลือ แล้วคนเขาทุกข์เขายาก เขาได้ของจากน้ำมือของเรา เขาจะมีความสุขใจจากเรา แล้วเราล่ะ เราเหงื่อโทรมกายนะ เหนื่อย ทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย ทั้งทุกข์ทั้งร้อนนะ แต่หัวใจมีความสุขไหม?

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจะมองกันแต่เรื่องของความศรัทธาความเชื่อ มันจะเอาแต่ผลประโยชน์ของมันไง แต่ถ้าเอาเรื่องของธรรม เรื่องค่าของน้ำใจ มันต้องขวนขวาย มันต้องตื่นตัวตลอดเวลา อย่าไปนอนจม ถ้านอนจมแล้วมันไม่ได้ประโยชน์อะไรหรอก การนอนจมนะ ทำดีแล้วก็ว่าสิ่งนี้ทำดีนะ ความดีที่ดียิ่งกว่านี้ยังมีอยู่นะ ความดีกว่านี้ก็ยังมีอยู่ ดูเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปสิ ขณะทำบุญกุศลนี่นะ พวกคฤหัสถ์เขาว่าแสนยากนะ อุตส่าห์ขวนขวายมา ได้ ๕ ได้ ๑๐ มา ยังต้องมาหาสิ่งดีๆ มาถวายพระเพื่อจะได้บุญกุศลนะ

แล้วพระล่ะ พระเอาอะไรไปทำบุญล่ะ เห็นไหม พระทำบุญก็นั่งสมาธิภาวนาไง นี่งานของพระนะ งานคนละส่วนกันนะ ไม่ใช่ว่าเห็นพระนี่ไม่ทำงานเลย พระได้รับผลของทานของเขาแล้ว ต้องไปทำมาค้าขาย ต้องไปทำธุรกิจแข่งกับเขา เพื่อเอาผลนั้นมาตอบสนองเขา มันไม่ใช่หรอก เห็นไหม มรรคหยาบมรรคละเอียดไง

หน้าที่ของหยาบๆ เด็กเวลามันเป็นเด็กดี เด็กที่มันมีการศึกษา มันก็ทำประโยชน์ของมัน ผู้ใหญ่ก็ต้องหาเงินหาทองมาส่งเสียให้ลูกของเราได้มีการศึกษา นี่มรรคหยาบมรรคละเอียด เวลาพระ เวลาทำขึ้นมา ถ้าหัวใจมีหลักมีเกณฑ์ มันจะเข้าใจเลยว่าเราจะทำอะไร หน้าที่ของเราคือหน้าที่อะไร

หน้าที่ของเรา เราจะดูแลหน้าที่ของเรา เราจะไม่ยุ่งกับคนอื่นหรอก หน้าที่ของเด็ก เราจะเป็นผู้ใหญ่ เราจะกลับเป็นเด็กอีกทำไม? เราต้องไปเป็นเด็กเหรอ? เราต้องไปวิ่งเต้นกับเด็กไปแข่งขันกับเด็กเหรอ? แต่มันเป็นความน่ารักน่าศรัทธา อันนั้นเราก็เป็นวาระของเขา แต่วาระของเรา เราก็ต้องทำหน้าที่ของเรา แล้วเวลาเป็นพระขึ้นมา พระก็ต้องประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ประพฤติปฏิบัติมาเพื่ออะไรล่ะ?

นี่ดวงตาของโลก ฟังสิ! ดูสิ ถ้าไม่มีพระอาทิตย์นี่ โลกนี้อยู่ได้ไหม มันจะมีความหนาวเย็นนะ ที่โลกอยู่ได้เพราะพระอาทิตย์ใช่ไหม? แสงสว่างจากพระอาทิตย์ใช่ไหม? นี่ก็เหมือนกัน ดวงตาดวงใจจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม พระอานนท์ร้องไห้เลยเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน “ดวงตาของโลกดับแล้ว ดวงตาของโลกดับแล้ว”

สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่นะ แล้วแทบทุกคน กษัตริย์ พราหมณ์อะไรก็แล้วแต่ มีปัญหาจะไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ดูสิ ดูพระเจ้าปเสนทิโกศล เห็นไหม ชาวบ้านเขาไปทำประมงกัน เขาได้ปลามา ปลาเป็นปลาทองคำ แล้วสังคมมันแคบ ถ้าปลานั้นเราเอามามันจะเป็นโทษ ต้องเอาไปถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล

ไปถึงกลางท้องพระโรง เห็นไหม ปลานี้อ้าปาก อ้าปากเหม็นมาก! โอ๊ย.. เกล็ดเป็นทองคำเลยแต่ปากเหม็นนะ นี่มันเป็นอะไร พระเจ้าปเสนทิโกศลบอกเลยนะ “เรื่องอย่างนี้ต้องถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ไม่มีใครรู้ไง ทำไมเป็นอย่างนี้

ตกเย็นขึ้นมา พระเจ้าปเสนทิโกศลไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ถามเรื่องนี้ขึ้นมาว่า “มันเป็นเพราะเหตุใด?” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลยนะ “พูดถึงอดีต ปลาตัวนี้แต่เดิมเคยเป็นพระ แล้วศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาธรรมวินัย ปริยัตินี่ศึกษามาแล้วก็สั่งสอน มีคนเชื่อถือศรัทธามาก”

โอ้โฮ.. มีลูกศิษย์ลูกหามหาศาลเลย แต่สอนไปสอนมากิเลสมันเต็มหัวไง นี่ศึกษาธรรมมา สอนลูกศิษย์เต็มบ้านเต็มเมืองเลย แต่กิเลสมันเต็มหัว ก็สอนถึงความเห็นของตัวสอนเข้าไป เอาความเห็นของตัว เอาความคิดของตัวบวกเข้าไป มันก็ไปกล่าวตู่พุทธพจน์ กล่าวตู่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันไม่เป็นความจริง เพราะเป็นความเห็นของตัว ความเห็นของกิเลส ไม่ใช่ความเห็นของธรรม เวลาตายไปตกนรกอเวจีนะ

ตกนรกอเวจีเพราะอะไร เพราะบิดเบือนข้อเท็จจริง แต่เพราะได้เป็นพระ บวชเป็นพระ ในสมัย ดูสิ อย่างขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ เห็นไหม เป็นพระบวชมา ศาสนามาก็มีมา เผยแผ่มา สิ่งนี้ตกนรกอเวจี แล้วพ้นขึ้นมา เห็นไหม การที่เป็นพระได้ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ได้สั่งสอนเป็นประโยชน์ก็มี ถึงได้เกล็ดนั้นเป็นทองคำ อ้าปากมานี่ปากเหม็นมาก

ในสมัยพุทธกาลนะ ถ้าใครมีปัญหา อชาตศัตรูจะไปรบกับลิจฉวี ก็ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “รบแพ้หรือชนะ?” ใครจะมีอะไร ถ้าเป็นลูกศิษย์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะคิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็จะไปถามปัญหา ปัญหานี่โลกนอกโลกใน

โลกนอกเข้าใจไปหมดเลย ไอ้โลกนอกนี่เข้าใจกันหมด เห็นไหม เดี๋ยวนี้สถิติโลกนอก..ทางวิทยาศาสตร์เขาก็พิสูจน์ได้ คอมพิวเตอร์เขาคำนวณได้ แต่โลกใน..คอมพิวเตอร์เขาคำนวณไม่ได้ อะไรก็คำนวณไม่ได้ เห็นไหม โลกในสำคัญกว่าโลกนอก

โลกทัศน์ เห็นไหม โลกทัศน์ของใคร โลกทัศน์ของความกิเลสเต็มหัวของใคร แล้วกิเลสเต็มหัวนะ ก็เอาโลกทัศน์ของตัวเองออกไปเบียดเบียนคนอื่น เห็นไหม เบียดเบียนตนก่อน เบียดเบียนตนนะ เรามีความรู้อย่างนี้ เรามีความเห็นอย่างนี้ เรามีทิฐิอย่างนี้ ความเห็นก็เบียดเบียนหัวใจเรา แล้วมันก็ไปเบียดเบียนคนอื่น

ถ้าโลกทัศน์โลกใน เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงว่าทำอยู่นี้ ที่เรามาทำบุญกุศลกันเพราะเหตุนี้ไง ถ้าเราทำบุญกุศลนี้ให้โลกทัศน์มันเปิด ให้โลกทัศน์นี่ยอมรับสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มรรคผลจะไม่สิ้นไปจากโลกนี้หรอก ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม โลกนี้จะไม่สิ้นจากพระอรหันต์เลย”

นี่ดวงตาของโลก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะนิพพาน ดวงตาของโลก เวลาประพฤติปฏิบัตินะธรรมมันละเอียดอย่างนี้ เรามาทำบุญกุศลกันก็เพื่อเราๆๆ บุญกุศลนี้ส่วนหนึ่งเพราะอะไร

บุญกุศลดูสิ ดูอย่างคนเข้ามา เห็นไหม คนปกติ คนพิการ คนเจ็บคนป่วย การขับเคลื่อนไปของสรีระร่างกายมันก็ต่างกันทั้งนั้นแหละ นี่ก็เหมือนกัน หัวใจที่มันเข้มแข็ง ทำไมเรามาทำบุญได้? ทำไมเรามีศรัทธาได้? นี่ความเข้มแข็งของใจ เพราะใจมันเปิด เพราะใจมันรับรู้อันนี้ มันพัฒนามาอย่างนี้ จากการได้ ๕ ได้ ๑๐ นี่ คำนวณไป ซับสมไป เหมือนก้อนอิฐ แล้วแต่เขาจะทำการก่อสร้าง เขาต้องมีปรับรากฐาน เหมือนกันทั้งนั้นเลย หัวใจนี่มันก็พลิกแพลงตลอดไปเพราะมันมีกิเลสกับธรรมในหัวใจ

ธรรม ธรรมคือชีวิตนี้ ชีวิตนี้มีธรรม เวลาสุขทุกข์ เห็นไหม เวลาคนตายไป ยมบาลถาม

“เธอได้เห็นธรรมไหม?”

“ไม่เคยเห็นเลย”

“อ้าว.. ก็คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ไม่ใช่ธรรมเหรอ?”

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของเรา ถ้ามันอ่อนแอต่างๆ สิ่งนี้มันเป็นสภาวธรรม ถ้ามันกระทบกระเทือนในหัวใจ ความคิดเกิดขึ้นมา ความกระทบกระเทือนในหัวใจเป็นธรรมทั้งนั้นล่ะ ธรรมมันมีอยู่แล้วแต่เราไม่เข้าใจ เราไม่รู้จักอะไรเลย แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามารื้อค้นสิ่งนี้ไง กิเลสกับธรรมในหัวใจขึ้นมานะ ทำให้หัวใจของเรา การเกิดการตายมันถึงเปลี่ยนแปลงไป มันหมุนเวียนไปตลอดเวลา เราถึงจะต้องคบมิตรดี

ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ “ถ้าคบมิตรที่ดีคบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด” การคบมิตรนะ การคบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่พาไปทางที่ผิดพลาดเลย จะพาไปทางที่ถูกต้อง จะพาไปทางที่ดี ถึงที่สุดเวลาทรมานพระ เห็นไหม เอาพระถึงสิ้นกิเลสได้ เพราะอะไร เพราะมันเป็นสมบัติอันประเสริฐมาก

ทรัพย์ อริยทรัพย์ ทรัพย์จากภายนอกนะ ถ้าเกิดว่าหาขนาดไหนก็แล้วแต่ หามาเพื่อเรา หามาเพื่อโลก เห็นไหม อริยทรัพย์หามาเพื่อเรานะ หามาเพื่อเรา ดูสิ ดูอย่างที่เราทำบุญกุศล นี่เป็นอามิส นี่ก็เป็นทรัพย์ เป็นทิพย์ เห็นไหม บ่วงที่เป็นทิพย์กับบ่วงที่เป็นโลก แม้แต่บุญกุศลมันก็เป็นบ่วงอันหนึ่ง เพราะเป็นความดี ความดีก็เป็นบ่วงอันหนึ่ง บ่วงในทางที่ทิพย์

บ่วงในทางโลก ดูสิ ดูแก้ว แหวน เงิน ทอง ใครไม่ติดมัน? ดูสิ บุตร ภรรยา ใครไม่ติดมัน? เป็นไปไม่ได้เลยที่ไม่ติด อย่ามาพูด ถ้ายังมีกิเลสอยู่ ยังมียางเหนียวต้องติดอยู่ เห็นไหม นี่บ่วงของโลก บ่วงที่เป็นโลก บ่วงที่เป็นทิพย์ บุญกุศลนี่บ่วงที่เป็นทิพย์

นี่ทรัพย์ อริยทรัพย์ อริยทรัพย์เกิดจากหัวใจของเรา หัวใจเราถ้ามันมีธรรมขึ้นมา มันวิปัสสนาของมันขึ้นมา มันเป็นปัญญาขึ้นมา มันใคร่ครวญขึ้นมา มันเป็นสิ่งที่ละเอียด ละเอียดจนแบบว่าละเอียดนะ คำว่าละเอียดนะ ดูสิของที่มันดี อย่างก้อนหินก้อนกรวด ใครจะต้องการมัน? เวลาเพชรนิลจินดาทำไมเขาอยากได้?

นี่ก็เหมือนกัน เวลาปัญญามันเกิดในหัวใจของเรา นี่อริยทรัพย์ คำว่าอริยทรัพย์เป็นความคิดนะ ปัญญาที่เขาใช้กัน คอมพิวเตอร์มันคำนวณได้มหาศาลเลยนะ มันคำนวณมากกว่าคนเป็นพันๆ คน ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์คำนวณแป๊บเดียวนะ คนเป็นหมื่นๆ คนคิดไม่ทันมันนะ อย่างนั้นเป็นปัญญาไหม?

ไม่เป็นปัญญาเลย ปัญญาอย่างนั้นไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย เพราะมันเป็นโลกียปัญญา แต่ปัญญาของเรา ปัญญาที่เกิดจากหัวใจของเราขึ้นมา มันต้องจิตสงบขึ้นมาก่อน มันจะเกิดจากฐานที่ของใจไง เกิดจากฐานของใจ เพราะใจมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ธรรมมันเกิดขึ้นมานะ

นี่ละเอียดอย่างนี้ไง ไม่ใช่ว่าความคิดปัญญานี่เป็นผลดีไปหมดนะ เพราะความคิดปัญญา ดูโจรมันก็ปล้น มันก็ใช้ปัญญาของมันเหมือนกันทั้งนั้นแหละ ดูสิเขาเบียดเบียนกัน เขาไม่ใช้ปัญญาเหรอ? ปัญญาอย่างนั้นปัญญาเบียดเบียนกัน ปัญญาอย่างนั้นเป็นประโยชน์อะไรขึ้นมา?

แต่ปัญญาของเราปัญญาดัดแปลงตน ปัญญาของเราดูสิ ทำอะไรก็ไม่ได้ ลำบากไปหมดเลย แต่เวลากิเลสมันเบียดเบียนในหัวใจ ทำไมไม่ลำบากล่ะ? เพราะมันควบคุมเรา มันเบียดเบียนเรา มันทำลายเรา มันสะสางเรา มันทำความสะอาดของเรา เรามันถึงสะอาดขึ้นมา ความสุขมันถึงเกิดที่นี่ไง ปัญญาอย่างนี้ที่ว่าละเอียดๆ ที่งานของพระ งานของผู้นักปฏิบัติไง เวลาเราปฏิบัติกัน

งานของโลกก็คืองานของโลก คืองานการแสวงหา งานอย่างนั้นมันเป็นงานของโลก มันคำนวณได้ มันทำการตลาดได้ แต่งานของธรรมทำการตลาดไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้หรอก เอาเรื่องของโลกมาเป็นเรื่องของธรรม เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เลย แต่เราก็ต้องฝึกฝนกัน เราก็ต้องศึกษากัน เพราะอะไร?

เพราะผู้ที่มีผู้นำที่ดี มีครูบาอาจารย์ที่ดี มีดวงตาของโลกที่ดี นี่งานของพระ งานของเราไง งานของเรา เราถึงต้องเอาตรงนี้เป็นจุดศูนย์กลาง เห็นไหม ไปถึงนะ ธรรมและวินัย ธรรมๆ นี่ความถูกต้อง เป็นจุดศูนย์กลาง ไอ้เรื่องอย่างข้างนอกนี่เป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อม เรื่องของภายนอก เวลาโลกเขาว่าสิ่งแวดล้อมดี คนจะดี

สิ่งแวดล้อมดีๆ โจรก็มี สิ่งแวดล้อมไม่ดีพระอรหันต์ก็เกิดขึ้นมาได้ แต่สิ่งแวดล้อมมันก็เป็นส่วนหนึ่ง เห็นไหม แต่จริงๆ แล้วมันอยู่ที่หัวใจนะ มันอยู่ที่จิต จิตตัวนี้มันสำคัญขึ้นมา เราย้อนกลับมาตรงนี้ นี่มันถึงว่าการฝึกฝนของสัตว์ สัตว์มันยังฝึกฝนได้ ช้างทั้งตัวเขายังเอามาใช้งานได้ เวลาถ้าคนมีธรรมนะ คนมีความคิดในหัวใจนะ สัตว์มันเข้มแข็งขนาดไหน มนุษย์เอามาใช้งานได้หมดเลย

แต่ทำไมของเรา ทำไมใจเราเราเอาไม่อยู่ล่ะ? ทำไมเราเอาตัวเองไม่ได้? ทำไมเราไม่สามารถควบคุมเราได้? ทำไมเราไม่สามารถฝึกฝนเราได้? เราเป็นคนทั้งคน แล้วเรามีมรรคขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีวิธีการ มีทุกอย่างหมดเลย แล้วมันทำไมทำไม่ได้? ถ้าพูดถึงธรรมนะ เลวกว่าสัตว์! สัตว์ยังควบคุมได้ สัตว์ยังทำได้ แล้วเรายังทำไม่ได้ ใจเราทำไม่ได้ เราเป็นอย่างไร?

นี่ย้อนกลับมาที่เรานะ ถ้ากลับมาที่เรา เราจะควบคุมได้เลย นี่วัตรปฏิบัติยังฝึกได้ สัตว์ยังฝึกได้ มันอยู่ในระเบียบตลอดเวลา ดูสิ ดูโคสิ เขาเทียมเกวียน เห็นไหม ยังใช้ประโยชน์ของมันได้เลย แล้วเราจะใช้ประโยชน์เราได้ไหม?

ถ้าเราใช้ประโยชน์ได้ มันจะเป็นประโยชน์กับเรา ประโยชน์กับเรานะ ไม่ประโยชน์กับใครเลย ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใครทำเป็นของคนนั้น ใครทำคุณงามความดีขนาดไหนก็เป็นสมบัติของคนนั้น ใครทำความชั่วเป็นสมบัติของคนๆ นั้น เป็นเรื่องของเขา เรื่องของเราหน้าที่ของเรา เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด

นี่ข้อวัตรปฏิบัติปฏิปทาเครื่องดำเนินของเรา สิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรา ประโยชน์กับเรานะ ประโยชน์กับเราให้เห็นเลย ธรรมเป็นอย่างสภาวะแบบนั้น เสียสละไม่มีอะไรติดไม้ติดมือเลย แต่หัวใจชุ่มชื่น เขานะมีเงินท่วมหัวเลย เงินเท่าภูเขา ไปนอนทุกข์บนกองเงินกองทอง นี่มันเป็นปัญญาใครปัญญามัน เพราะเรื่องกองเงินกองทองมันเป็นแร่ธาตุ มันเอาไปไม่ได้นะ เราตายไปแล้วเอาอะไรไปไม่ได้เลย แต่หัวใจเรามันไปกับเรา นี่ใครฉลาดใครโง่แล้วแต่ความคิด

แต่โลกเขาว่าโง่นะ เรามาทำบุญกุศลกันเสียสละกันเป็นคนโง่ ไอ้คนที่มันแสวงหา คนที่มันสะสมมันคนฉลาด เอ้า เรื่องของมัน เราไม่เชื่อใคร เราเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ดวงตาของโลก (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)